นุ๊ก สุดแกร่ง ตรวจเจอมะเร็งที่คอโตขึ้น ลุกลามลงที่ปอด พร้อมเล่าเตรียมวางแผนดาวน์งานตัวเองแล้ว เผยเหลือ 2 ทางเลือกวิธีรักษา พบคุณพ่อก็ตรวจร่างกายเป็นมะเร็งลำไส้อีกคน
เมื่อวันที่ 30 ต.ค. นักร้องและนักแสดงสาว นุ๊ก สุทธิดา ได้รับตำแหน่ง “ทูตกิตติมศักดิ์เพื่อต่อต้านมะเร็งระดับโลก” เป็นการจับมือกับโรงพยาบาลมะเร็งสมัยใหม่สแตมฟอร์ดกว่างโจ งานจัดขึ้น ณ สำนักงานให้คำปรึกษาโรคมะเร็ง โรงพยาบาลมะเร็งสมัยใหม่แสตมฟอร์ดกว่างโจว ชั้น 27 อาคาร CW Tower รัชดา
พร้อมกันนี้ เธอได้อัพเดตถึงโรคมะเร็งไทรอยด์ ที่เคยผ่าตัดไปแล้วเมื่อ 2-3 ปีก่อน ปัจจุบันพบว่า มะเร็งยังเหลืออยู่บริเวณคอ อีก 3 จุด รวมถึงขณะนี้ลามลงไปที่ปอด แถมหลังจากที่ตั้งใจบินไปรักษาที่ประเทศจีน โดยการฉีดแร่ แต่พบว่าก้อนมะเร็งโตขึ้น จนไม่สามารถรักษาวิธีนี้ได้ เหลือเพียง 2 วิธีให้เลือกพร้อมกันก็คือ ผ่าตัดใหญ่และฉีดสเต็มเซลล์ พร้อมกันนี้เธอยังเผยอีกด้วยว่า พ่อของเธอก็เพิ่งตรวจพบมะเร็งบริเวณลำไส้
เขาว่ากันว่า คนเป็นมะเร็ง กำลังใจเป็นเรื่องสำคัญมา? “กำลังใจเป็นเรื่องสำคัญ แต่ที่อยากจะให้รู้สึกก็คือ ไม่ว่าทุกอย่างของทุกอย่างจะมีค่าอย่างไร มันอยู่ที่ตัวเรา ถ้าเราคิดกับมันยังไงมันก็จะมีค่ากับเราอย่างนั้น
อย่างที่สองก็คือกำลังใจจากรอบข้างรอบข้าง มันเป็นกำลังใจรอง ก็คือไม่ว่าจะเจอเหตุร้ายอะไร ถ้าเราไม่ให้กำลังใจตัวเองก่อน เราไม่พยายามจะต่อสู้เพื่อตัวเอง ต่อให้มีคนรอบข้างเป็น 100 คน ก็ช่วยอะไรเราไม่ได้
แต่เมื่อผู้ป่วยเริ่มต่อสู้แล้ว บางทีกำลังใจมาแล้วจากครอบครัว แต่บางทีการต่อสู้ มันก็เหมือนโดดเดี่ยว เหมือนเวลาที่ผู้ป่วยเข้าไปรักษา เขาก็จะเห็นคุณหมอที่ไม่ได้ป่วย เขาก็จะเห็นญาติที่ไม่ป่วยมาดูแลเขา แต่เวลาที่เราไปเยี่ยมคนป่วยด้วยกัน ก็เหมือนมีเพื่อนจับมือกันรักษาไปด้วยกัน สู้ไปด้วยกัน
สำหรับโรงพบาบาลนี้ พี่โก้ ธีรศักดิ์ เป็นคนแนะนำ เพราะบ้านพี่โก้เองเขาก็วุ่นวายกับเรื่องนี้พอสมควร เขาก็เป็นคนไปหามา เขาก็ถามว่านุ๊กมีแผน 2 ไหม ลองมาที่นี่ดู ซึ่งตอนแรกๆ อ่ะ เราก็แค่มาร่วมกิจกรรม มาฟังเรายังไม่ได้สนใจที่จะรักษา แต่พอได้คุยกับคุณหมอที่บินมาจากประเทศจีน ได้ฟังเรื่องนวัตกรรมหรือแนวทางการรักษาของเขา วิธีการที่เขามองมะเร็งหรือกินอาหาร โดยรวมแล้วมันค่อนข้างที่จะตรงจริตกับเรา เราก็เลยรู้สึกว่า เออแนวทางนี้เป็นแนวทางที่ดี ทำให้เราอยากจะทำการรักษามากขึ้น จากเมื่อก่อนที่รู้สึกว่ายังไม่พร้อมจริงๆ”
แล้วแนวทางการรักษาที่ผ่านเป็นอย่างไร? “ก็คือผ่าตัดแล้วก็เอามะเร็งในส่วนของไทรอยด์ออกไปเรียบร้อยแล้ว แล้วก็มีมะเร็งที่กระจายไปทางต่อมน้ำเหลืองอีกประมาณ 16 จุด ก็เอาออกไปได้เกือบหมด หลังจากนั้นก็เป็นการกลืนแร่หรือให้คีโม แต่ว่าการกลืนแร่ คุณหมอก็หวังว่าจะทำให้มะเร็งที่เกือบหมดอ่ะ หมดไป แต่ปรากฏว่ามันก็ยังไม่หมดไป หลังจากนั้นเราก็อยู่ในขั้นตอนของการตรวจเลือดทุก 3 เดือน และอัลตร้าซาวด์ทุก 6 เดือน ว่าอันที่เหลือเนี่ยมันโตขึ้นและมันโตขึ้นมากแค่ไหน ในทุกๆ 6 เดือน ก็ยังเป็นแนวการรักษาเบื้องต้น
หมอบอกว่าถ้าเราไม่สบายใจ หรือมองว่ามันโตขึ้น เราก็อาจจะผ่าได้ แต่ตอนนั้นเรารู้สึกว่าเรายังไม่อยากผ่า ซึ่งตอนนี้เราก็ยังไม่อยากผ่าตัด ด้วยความที่มันมีช้อยส์แค่นี้
แต่พอมาที่โรงพยาบาลนี้ก็ได้คุยมากขึ้น ทางโรงพยาบาลมะเร็งสมัยใหม่ เขาก็สมัยใหม่มีช้อยส์ให้เราเลือกมากขึ้นอีก 2-3 ช้อยส์ แต่พอไปคุยจริงๆ แล้วได้ทำการตรวจอย่างละเอียดแล้ว เขาก็ให้เหลืออยู่แค่สองช้อยส์ ก็คือผ่าตัดไปเลย ซึ่งเราก็ยังไม่อยากจะเลือกอันนั้น กับอีกช้อยส์หนึ่งก็คือเป็นการฉีดเซลล์ต้นกำเนิด (สเต็มเซลล์) ซึ่งตรงนั้นน่ะ มันช่วยเรื่องภาวะภูมิตก
สมมุติว่านุ๊กเป็นช่วงคอ ส่วนตรงหัวจะช้ามาก เวลาที่อยู่ๆนอนน้อย ระบบประสาทก็จะสรวนได้กลิ่นควันตลอดเวลา เหมือนใครจุดธูป บางทีแพ้อะไรตาบวมหัวปูดมาข้างหนึ่ง มันจะอยู่ในโซนหัว และเรารู้ว่าเวลาที่คุณหมอพูดว่าคนเป็นมะเร็ง ภูมิมันตกง่ายเราก็เลยรู้สึกว่ามันจริง มันทำให้เรารู้สึกว่าอยากจะไปฉีดเซลล์ต้นกำเนิดนี้และอีกอย่างหนึ่ง มันก็ช่วยทำให้เซลล์โดยรวมของเราแข็งแรง และขยายใหญ่ขึ้น มันก็จะเป็นการชะลอ”
การตรวจเช็คทั้งหมดเป็นการไปตรวจเช็คที่จีนหมดเลย? “ก็เป็นผลตรวจจากที่ไทยด้วย แต่บางครั้งซีดีของไทยกับของจีนเปิดไม่เหมือนกัน ก็มีหลายคนเหมือนกันที่ไปแล้วเอาผลตรวจของไทยไป แล้วก็ไปเปิดไม่ได้ก็ต้องการทำการตรวจใหม่โดยละเอียดอีกทีนึง
คือตอนแรกตั้งใจจะไปฉีดแร่ใช่ไหม? “ใช่ค่ะต้องการจะไปฉีดแร่ ก็เลยคิดว่าสบายๆแค่ฉีดแร่ไม่ต้องผ่าตัด แต่ทีนี้พอคุณหมอไปตรวจดูแล้วปรากฏว่า 1. คือก้อนมันใหญ่กว่าที่คิดไว้ 2. คือมันไม่ได้มีแค่ก้อนเดียว มันมีทั้งหมด 3 ก้อน คุณหมอบอกว่ามันไม่ควรฉีดแร่”
นาทีที่เราทราบว่ามันใหญ่ขึ้นและเจออีกสามก้อน? “คือต้องบอกว่ามันเริ่มตั้งแต่หมอไทยเลย คือวัฒนธรรมไทยกับจีนไม่เหมือนกัน ไทยอ่ะอาจจะเป็นประเภท ไม่เป็นไรนะ หมอจะพูดอ้อมๆ ไม่ค่อยให้รายละเอียดชัดเจนมากเท่าไหร่ และพูดน้อย เราจะไม่ค่อยรู้ detail อะไรเยอะ และส่วนมากคุณหมอจะให้กำลังใจ ยังไหวอยู่ อยู่ในโซนที่ควบคุมได้ แต่เราไม่รู้ detail ว่าจริงๆแล้วมันยังเหลือก้อนเท่าไหร่ยังไง
แต่ที่จีนไม่เป็นแบบนี้ ที่จีนคือไปถึงวันแรกใช้เวลาคุยกับเราเยอะมาก คุยละเอียดเลย รู้ไหมว่าจากประวัติที่เอามาเนี่ย มีจุดเล็กๆที่ปอดด้วยนะ เราก็ฮะ! เลย คือไม่เคยรู้มาก่อนว่าเป็นตรงนี้ มันจะลามไปที่ปอดง่ายนะ อย่างโน้นอย่างนี้ แต่คือมันก็ดีนะคะ เราจะได้ดูแลตัวเอง เพราะว่าก่อนหน้านี้เราคิดว่าโอเค แต่ก็คือต้องเรียกว่าดีคนละแบบ
แต่ถามว่าวูบไหน มันก็วูบเหมือนกัน แล้วก็รอลุ้นด้วยว่าพรุ่งนี้ผลผลตรวจปอดจะเป็นยังไง และในระหว่างนั้นน่ะไปอัลตร้าซาวด์ ถ้าหมอไทยอัลตร้าซาวด์ เขาก็จะบอกเราว่า เออมันโอเค ตัวไม่เท่าไหร่นะ หกเดือนก็โตขึ้นนิดนึง เดี๋ยวไปรอฟังจากคุณหมอใหญ่นะ อันนี้ก็จะเป็นสไตล์หมอไทยทำให้ทุกอย่างมันง่ายๆ
แต่พอไปจีนไปถึงเขาก็จะบอกเลยนะ มีตรงนี้ ตรงนี้ก้อนใหญ่สุดนะ เอามือมาจับสิ คือจริงๆแล้วอ่ะ เรื่องพวกเนี่ยคนไข้อยากรู้นะ แต่ก็ไม่ได้อยากรู้ตรงนั้นทีเดียว เพราะว่าเรามีความมั่นมาก่อน เรามีความมั่นว่าเราโอเคจากที่ไทย ซึ่งมันไม่ใช่แค่เราคนเดียวมันมีคนไข้หลายหลายคนที่มีความมั่นมาจากที่ไทย แล้วไปเจอที่จีน แล้วเขาก็คิดว่าเขาโอเค คิดว่าเขาไหวเพราะว่าหมอบอกว่าโอเคแล้ว
แต่แน่นอนว่าตอนที่ไปที่จีน การได้ตำแหน่งทูต กิตติมศักดิ์เพื่อต่อต้านมะเร็ง เหมือนว่าเราไปจีนแล้วเราได้ไปเยี่ยมคนไข้คนไทย คือที่โน่นน่ะเขาจะมีการทำกิจกรรมให้คนไข้คนป่วยหลายๆประเทศลงมาร่วมกิจกรรม เล่าประสบการณ์ เราก็ไปเยี่ยมคนป่วยที่ไทย สิ่งหนึ่งที่เราเห็นก็คือ ต่อให้ทุกคนน่ะบอกว่าโอเคสู้
แต่ว่าเราก็เห็นว่าในแววตาของคำว่าสู้ เรารู้ว่ามันมีความกลัวอยู่ ซึ่งมันก็ไม่แปลก เพราะว่าทุกคนน่ะต่อให้สู้มันก็ไม่ได้หมายความว่าเราไม่กลัว เราก็มีความกลัวมีความกังวลอยู่ในแววตา แต่ก็อยากจะบอกทุกคนตรงนี้ว่า ไม่แปลกที่จะกลัว ให้มองเป็นเรื่องปกติที่เรามีสิทธิที่จะกลัวได้และเราก็มีสิทธิ์ที่จะดีไซน์ชีวิตที่เหลืออยู่ต่อไปหรือวิธีการรักษาของเราไปในรูปแบบที่เราต้องการ“
แล้วในจุดที่เกิดขึ้นที่ปอดอ่ะมันมีความน่ากลัวขนาดไหน?“คือตอนรู้ก็วูบไปวันนึง แต่พอตรวจแล้วคุณหมอไม่ได้พูดอะไรต่อก็แสดงว่าไม่ได้มีอะไร ก็คือพูดแต่ช่วงคอ ว่ามีสามจุดนะ ว่าทำไมไม่เอาออกไปให้หมด เออก็นั่นน่ะสิ คือทุกคนก็อยากจะเอาออกให้หมด แต่มันไม่หมดมันเยอะมาก ”
แล้วจุดนี้มันเป็นการลาม หรือว่ามันมีตั้งแต่แรกอยู่แล้ว? “มันน่าจะมีตั้งแต่แรก เพราะว่านุกน่าจะเป็นคนที่ไม่ค่อยใส่ใจในตัวเอง นี่แหละคือเหตุผลที่บางคนบอกว่าไม่ตรวจก็ไม่เจอ บางทีมันไม่ใช่ ทุกโรคต้องตรวจ เจอก็คือรักษา แต่ของนุกมันเหมือนว่ามีมานานหลายปีแล้ว แล้วไม่ได้ใส่ใจตัวเอง
คือตอนแรกที่ตรวจเจอที่ไทรอยด์อ่ะตัดไปแล้ว แต่ตอนที่มันเป็นตรงไทรอยด์ แล้วมันลามไปที่ต่อมน้ำเหลืองประมาณ 16 จุด ที่เขาตัดออกไปแล้ว แต่มันก็ยังไม่หมด แสดงว่ามันก็มีมากกว่า 16 จุด”
แล้วหลังจากนี้วางแผนการรักษาอย่างไร? “ด้วยความที่ตอนถ่ายละครด้วย และกำลังทำธุรกิจที่เราจะต้องรันแล้วก็วางตั้งแต่ก่อสร้างไปถึงทำแผนการธุรกิจเอง มันก็เหมือนว่าเรายังไม่ว่างที่จะถึงขั้นผ่าคอ และใจด้วยแหละ เรายังไม่มีใจที่จะเตรียมผ่าตัดอีกครั้ง แต่ว่าอยากจะเคลียร์ให้มันหายไหม แน่นอนว่ามันก็มีความอยาก ไม่ได้อยากจะอยู่ร่วมกับมะเร็งนานนาน แต่ว่าคิดว่าเรายังไม่พร้อม
อาจจะเป็นในเรื่องช้อยส์ที่คุณหมอให้มา ก็คือการไปฉีดเซลล์ต้นกำเนิด ซึ่งมันก็มีบางประเทศที่เค้าอนุญาตให้ฉีดอย่างถูกต้องตามกฏหมาย ซึ่งของไทยยังผิดกฎหมายอยู่”
ถ้าไม่ฉีดโอกาสภูมิตก มันจะเร็วขนาดไหน? “หลักๆเลย ความที่เซลล์ต้นกำเนิดอ่ะมันช่วยในเรื่องของภูมิคุ้มกัน หลักๆมันจะเป็นในเรื่องของภูมิคุ้มกันที่มันทำให้เราสรวนในแต่ละครั้ง ในแต่ละวัน คือคนเป็นมะเร็งอ่ะตื่นมามันเหมือนจับฉลาก บางวันเนี่ยตื่นมาหน้าบวมตาบวมหัวปูดไปข้างหนึ่ง
คือนุกขับเป็นแต่ไม่รู้ว่าคนอื่นน่ะเป็นไหมเหมือนตื่นมาหน้าบวมน้ำ เหมือนเราหัวลงพื้นหรือเปล่า แต่ว่าบางครั้งมีกลิ่นธูป คือรู้ว่าระบบในสมองอ่ะมันผิดปกติ เหมือนมันมีสมองส่วนหนึ่งสั่งให้เราได้กลิ่นควันเหมือนกลิ่นไหม้ตลอดเวลา อันนี้ก็น่าจะมาจากความสรวน ซึ่งหลักๆในการฉีดสเต็มเซลก็น่าจะช่วยในเรื่องของภูมิคุ้มกันขั้นพื้นฐาน ที่เราป่วยอยู่แล้วมันก็ทำให้เซลล์ของเราอ่ะสมบูรณ์ไปด้วย พอเซลล์มันสมบูรณ์แข็งแรงมันก็ทำให้โอกาสการกลายพันธุ์ของเราน้อยลง”
หมอได้กำหนดระยะเวลาให้เราไหมว่าจะต้องผ่าตัดตอนไหน? “หมอจีเป็นแนวให้ช้อยส์ แล้วก็ให้เลือกเอง คือเขาก็จะบอกว่าถ้า คุณยังไม่ผ่าตัดตอนนี้ได้ ด้วยเซลล์มะเร็งของคุณถูกฉีดสีเข้าไป การแอคทีฟมันไม่ได้เร่งด่วนถึงขนาดที่จะต้องตัดออกเดี๋ยวนี้ ถ้าคุณคิดว่าคุณอยู่ร่วมกับมันได้ แล้วก็อีกช้อยหนึ่งคือการฉีดสเต็มเซลล์ เราก็เลยรู้สึกว่าเราก็ยังมีโอกาสมีทางเรื่องอื่นที่มันไม่จำเป็นจะต้องผ่าตัดอย่างเดียว”
เราต้องฉีดบ่อยไหม? “หมอบอกว่าสำหรับคนที่ป่วยอย่างน้อย ปีละครั้งก็ได้ ถ้าเกิดคนที่ปกติอ่ะ อาจจะสองปีครั้ง หรือบางคนที่คิดว่าฉีดแล้วโอเคแล้วไม่ต้องฉีดอีกก็ได้”
มะเร็งของเราเรียกว่าอยู่ในระยะไหน? “คือเป็นสิ่งเดียวที่ไม่กล้าถามหมอเลยไม่ว่าจะหมอคนไหน เพราะว่าหมอไทยอ่ะเขาพูดว่า มะเร็งไทรอยด์มันไม่เหมือนมะรืนอื่นๆ มันไม่ได้นับที่ขนาด แต่นับที่อายุ ต่อให้มีขนาดที่เล็ก แต่อายุเยอะ ก็ถือว่าเป็นสเต็ปลึก เราก็เลยรู้สึกว่าคำว่าแก่กับมะเร็ง แก่เจ็บกว่า ก็เลยบอกว่าเออ ไม่ต้องบอกดีกว่า เจ็บ
แต่ของนุกก็ลามไปค่อนข้างเยอะ เพราะอย่างที่บอกว่านุกเป็นมาหลายปีมาก ที่มีก้อนที่คอ แต่ว่าเราอ่ะไม่ได้ใส่ใจ เราละเลยตัวเองมากๆ คือก่อนหน้านี้เนี่ย ตอนต่อประกันเขาก็ปฏิเสธ เขาบอกว่าผลเลือดเราประหลาด แต่ว่าเราก็หาไม่เจอว่ามันเป็นอะไร”
แล้วมันส่งผลกับการใช้ชีวิตของเรามากน้อยขนาดไหน? “หลังจากที่ตัดไปแล้วเปลี่ยนไปเยอะ อาจจะมีเรื่องของอารมณ์ที่มันสรวน ด้วยความที่ไทรอยด์เรามันไม่ปกติ ไทรอยด์มันจะเป็นพวกต้นกำเนิดของผมกระดูกเล็บฟันผิวหนังอารมณ์ มันเป็นต่อมไร้ท่อที่มันสร้างผลิตฮอร์โมนหลายอย่างในตัวเรา
แต่พอหลังจากที่ผ่าตัดไปเรียบร้อยแล้วมันจะเปลี่ยนไปถล่มทลายเลย นอนหลับไม่พอแค่วันสองวันมาแล้ว”
หลังจากเป็นข่าวว่าเรายังหลงเหลือมะเร็งอยู่สามีตกใจไหม? ”สามีถามเลยค่ะ จากปกติที่ไม่ถามว่าเป็นยังไงบ้าง คือเขาไม่รู้ คือก่อนบินน่ะเขาหันมาถามเลยว่า ยูไปรักษาตัวหรอ ใช่ๆ จะไปจีน คือเขาก็สงสัยว่ายังมีมะเร็งอยู่ที่ตัวอยู่เหรอ คือเขาอ่ะไม่เคยรู้มาตลอด หลังจากที่ที่ผ่าไทรอยด์มา 3-4 ปี เขาไม่เคยรู้เลย แล้วเราก็ไม่ได้พูดด้วยค่ะ
แล้วทีนี้พอบินกลับมา เขาก็คงจะรู้สึกผิด เพราะว่าเขาก็ไม่เคยรู้มาก่อน เขาก็ถามตั้งแต่วันที่กลับมาแล้วว่าเป็นยังไงรักษาเป็นยังไงบ้าง ก็เลยบอกเขาว่าฉันยังไม่อยากจะพูดเรื่องมะเร็งตอนนี้ คุยเรื่องอื่นได้ไหม เพราะฉันน่ะไปอยู่โรงบาลมา 3-4 วัน อยู่กับกับมะเร็ง 3-4 วัน ได้ยินคำว่ามะเร็งๆ
แล้วเราไปเยี่ยมผู้ป่วยมะเร็ง เวลาเรากอดกันมันก็รู้สึกร้องไห้ไปด้วยกัน มันก็รู้สึกต่อให้เราบอกว่าโอเค แต่พอเราเห็นเพื่อนร่วมทางของเราไม่ค่อยโอเคเราก็รู้สึก ก็เลยบอกว่ากลับมาอย่าพึ่งพูดนะขอพักแป๊บนึงแล้วก็ทำงาน ไม่ค่อยอยากเล่าให้ใครฟังเพราะว่ามันยังรู้สึกว่าตัวเองยังสรวนอยู่ ไม่อยากให้ใครเห็นในสภาพที่มันสรวน เพราะว่าเราก็ต้องเป็นตัวอย่างด้วย
ก็ต้องบอกว่าคุณพ่อนุกก็เป็นเพิ่งตรวจเจอปีนี้แล้วก็รักษา ซึ่งเขาก็ไม่ยอมบอกนุกนะคะว่าเขาเป็นถึงสเต็ปไหนแล้ว ซึ่งมันก็โอเคเพราะว่ามันก็เป็นสิทธิ์ของเขา แต่นุกเชื่อว่าตอนที่เขาให้คีโมเขาป่วยน้อยมาก เขาแข็งแรงมาก เขาน้ำหนักลดไม่กี่โลน้อยมาก ถ้าเทียบกับคนแก่อายุเท่าๆเขาทุกคนจะต้องล้ม เดินไม่ได้ แต่ว่าเขาเดินได้ปกติ แต่ว่าอาจจะมีในเรื่องของระบบย่อย ระบบขับถ่าย และในเรื่องของการทานทานข้าวที่ทานไม่ลงเพราะเรื่องของคีโม ที่มันอาจจะทำให้ทานข้าวไม่ลง
แต่นุกเชื่อว่าส่วนนึงเขาเห็นว่านุกอ่ะมันยังรอดเลย นุกมันยังใช้ชีวิตปกติ เขาก็เหมือนว่ายังใจสู้ โชคดีที่ลูกชิงเป็นก่อน ก็เลยรู้สึกว่าเวลาเรารู้สึกว่าสรวนเราไม่อยากให้ใครเห็น”
ให้กำลังใจเขายังไงบ้าง? “ไม่ได้ให้กำลังใจกันขนาดนั้นนะคะ แต่จะเป็นการพาไปทานข้าว เน้นให้กินนั่นสิ กินนี่สิ ก็เหมือนลูกคะยั้นคะยอ ไม่อยากกินก็ต้องกินเป็นมารยาทเล็กๆ น้อยๆ”
เขาเครียดขนาดไหน? “แรกๆ กลัวนะคะ แต่พอเริ่มกระบวนการรักษา ก็เริ่มทำใจได้ เพราะเราเข้าใจได้ว่าแรกๆ ทุกคนก็จะรู้สึกกลัว ตกใจ ช็อก แต่พอเข้าโหมดทำใจได้ เริ่มไปรักษา เขาก็ปกติขึ้น นุ๊กกับเขาค่อนข้างใช้ชีวิตคล้ายกันเลย เราปกติมาก ไม่คุยเรื่องมะเร็งเป็นปัจจัยหลักเลยค่ะ อยู่แบบลืมๆ เหมือนไม่มีมันอยู่ด้วยซ้ำ แต่กระบวนการรักษาก็ทำไป”
คุณพ่อเป็นตรงส่วนไหน? “คุณพ่อเป็นที่ลำไส้ค่ะ แต่ตอนนี้เขาก็เบาใจขึ้น เขาโชคดีมากที่ลูกสาวเป็นมะเร็งก่อน (หัวเราะ) เขาก็เลยรู้สึกว่ามีตัวอย่าง คือนุ๊กไม่เคยเครียดให้เขาเห็นนะคะ ไม่เคยแม้แต่ตื่นมาทั้งที่ตัวเองสลวนแล้วบ่นกับคนอื่น นุ๊กรู้สึกว่ามันไม่ใช่เรื่องที่ต้องพูด บางทีเรายังไม่รู้ตัวเลย จนไปกองถ่ายช่างแต่งหน้าทักว่าไปฉีดหน้าผากมาเหรอ หน้าผากบวม เราก็ถึงรู้ เพราะเริ่มรู้สึกไม่ค่อยสบาย เพราะบางทีเราก็ไม่ได้สังเกตุตัวเองด้วย แต่มันก็บวมเป็นกลมๆ เหมือนยุงกัด เหมือนเราอาจจะเครียด เลือดก็เลยไม่โฟลหรืออะไรเราก็ไม่รู้ เพราะพอหลังจากผ่ามันก็สลวนไปหมด แต่เราก็พยายามใช้ชีวิตให้มันปกติที่สุด อย่าไปคิดอะไรมาก (ยิ้ม)
เขาว่ามะเร็งเป็นโรคที่ต้องการกำลังใจมากที่สุด? “ใช่ค่ะ อย่างตำแหน่งที่ได้มาล่าสุด ที่ประเทศจีนเขาก็มองเราว่าดูเป็นคนที่แลดูมีความสุข (หัวเราะ) เขาบอกว่ามะเร็งมันกลัวความสุขนะ เราก็เลยรู้สึกว่าเราต้องมีความสุข เป็นกำลังใจให้ตัวเอง และเป็นกำลังใจให้เพื่อนที่ป่วยอยู่ด้วยกัน
วันที่เราเฟล นั่งเครื่องกลับมาถึงไทยเราก็นึกในใจว่าทำไมคนป่วยมะเร็งจะต้องเครียด จะต้องเสียใจ ร้องไห้ทั้งวันทั้งคืน แล้วพวกที่ป่วยเบาหวาน เป็นไต ทำไมเขาไม่เป็นอะไร แล้วทำไมเราต้องเป็นอย่างนั้น มันก็ไม่จำเป็น บางคนไม่เป็นยังตายก่อนเราก็มี ฉะนั้นก็อย่าไปเครียด เป็นมะเร็งก็แค่เป็นมะเร็ง บางคนบอกว่าให้พูดแค่น้องมะ ไม่ค่ะ มะเร็งก็มะเร็ง คนเป็นไตยังพูดว่าเป็นไต ไม่เห็นจะต้องกลัวเลย เขาไม่กลัว ทำไมเราต้องกลัว“
แนวทางการรักษาหลังจากนี้ต้องผ่าตัดใช่มั้ย? “ผ่าตัดนี่น่าจะอยู่ที่ใจเราก่อนค่ะ (หัวเราะ) คือนุ๊กคุยกับ คุณแหม่ม วิชุดา บอกว่านุ๊กอยากเป็นแหม่มมากเลยนะ บินไปเกาหลีทุกทีแหม่มจะวางยาสลบ จะขึ้นเตียงผ่าตัดแหม่มทำได้ ในเวลาแค่ 5 นาที แหม่มตัดสินใจเลย แล้วนุ๊กเคยอยู่กับเขาตอนนั้น แหม่มเก่งมาก
แต่นุ๊กเป็นคนที่เดี๋ยวก่อน เอาไว้ก่อน คือรู้สึกว่าการจะดมยามันเรื่องใหญ่ คือนุ๊กรู้สึกว่าเราตายไปครึ่งนึงแล้วเวลาเราดมยา ไม่ว่าจะคลอดลูกหรืออะไร เท่ากับเราตายไปครึ่งหนึ่งแล้ว ก็เลยรู้สึกว่ายังไม่พร้อม และอีกอย่างก็ยังมีธุรกิจที่เพิ่งจะเริ่มทำ แล้วมันยังต้องอาศัยเราคนเดียวที่จะรันมันไปได้ ตอนนี้ก็เลยอยากจะไปฉีดสเต็มเซลล์ก่อนค่ะ
แล้วถ้ากล่อมคุณพ่อได้ คุณพ่อก็จะมีความมั่นใจกับการรักษาของเขาเหมือนกัน ถ้าเขาไปได้ก็อยากชวนเขาไปด้วย เพราะว่าจริงๆ แล้วสเต็มเซลล์บางประเทศถูกกฎหมาย แต่ก็เป็นล้าน แต่ที่จีนประมาณ 2.5 แสน ราคามันถูกกว่าเยอะ อยากนุ๊กไปฉีดเม็ดสี แล้วก็เข้าอุโมงค์ ถ้าอยู่ไทยมันต้องเกือบๆ แสนแล้ว แต่ที่นู่นก็ถูกกว่าเกินครึ่ง เราก็รู้สึกว่าถ้าเราไม่ได้มีประกันเลย ก็ถือว่าเราคุ้ม
การผ่าตัด ณ ตอนนี้ก็เลยน่าจะเป็นช้อยส์สุดท้าย คือเรายังรู้สึกห่วงเรื่องลูก เรื่องงาน และการผ่ากว่าจะพักฟื้นอีก เอฟเฟ็กต์มันก็เยอะนะคะ ผ่าคอนี่มันยึดหมดเลยนะคะ แล้วก็จะมีอาการเหมือนออฟฟิศซินโดรมร่วมด้วย เพราะมันยึดไปหมด ผังผืดจะเกาะ กว่าเราจะยืดคอก็มึนหัวอีก มันจะเป็นช่วงที่ทำงานยากมาก แต่ก็คิดว่าถ้าจบละคร 2 เรื่องนี้ และธุรกิจอีก 2 ตัวก็น่าจะไปอยู่ในช่วงของการดูแลตัวเองหลังจากนี้ค่ะ”
ครั้งแรกที่ผ่าเป็นยังไง? “เชื่อมั้ยครั้งแรกที่ผ่าก็ขับรถไปคนเดียวนะ ให้พี่โก้ (ธีรศักดิ์ พันธุจริยา) ไปรอหน้าห้องผ่าตัด พอผ่าเสร็จ พักฟื้นเสร็จก็ขับรถกลับบ้านเอง (หัวเราะ) แต่ตอนผ่าไม่เป็นอะไรเลยค่ะ ก็ตามสเต็ปของคนไข้ แต่พอหลังจากที่ถอดแผลผ่าตัด ถอดแม็กออกแล้ว พวกผังผืดที่ยึดนี่แหละรู้สึกว่านานเหลือเกินกว่าจะหาย”
ตอนนั้นคิดมั้ยว่าชีวิตนี้จะต้องไม่มีมะเร็งอีกแล้ว? “ตั้งแต่ตอนที่อัลตร้าซาวด์ครั้งแรก ตั้งแต่ผลยังไม่ออกจากห้องแลปส์ แค่เห็นหน้าหมอก็คิดในใจว่า อะไรเนี่ย นุ๊ก สุทธิดา ใช้ชีวิตเป็นนักร้อง ตอนนี้ต้องมาเป็นมะเร็งเหรอ มันคือฉันใช่มั้ย มันเหมือนเราถูกรางวัลที่ 1 แต่เป็นรางวัลที่ 1 ที่ไม่อยากได้ (หัวเราะ) มันจะเป็นความรู้สึกนี้ก่อนที่จะเริ่มกลัว ตอนที่รู้นี่ขนลุกหมดเลย”
เพื่อนๆ ศิลปินและครอบครัวให้กำลังใจยังไงบ้าง? “ต้องขอบคุณคนแรกเลยพี่อั๋น ภูวนาท ไลน์มาคนแรกเลย หรืออยากลูกๆ ก็คงไม่ได้อะไรมาก คิดว่าแม่ตายยาก เขาบอกว่าแม่ไม่ตายง่ายๆ หรอก แม่จำไว้เลย (หัวเราะ) แต่ลึกๆ นุ๊กว่าเขากลัวนะ เขาก็ดูเศร้าไป แต่หลังจากที่เขาเห็นการใช้ชีวิตของเรา แม่ก็ยังดูปกติ แม่ก็คงไม่เป็นอะไรหรอก เขาก็เลยไม่ได้เครียดตามเรา เพราะเราก็ไม่อยากให้เขาเครียด ไม่อยากให้คนรอบตัวเราเครียด”
ลูกเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้เราต้องสู้กับโรคด้วยใช่มั้ย? “ใช่ๆ เป็นเหตุผลหลักเลยค่ะ ถ้าอย่างอื่นก็เฉยๆ รู้สึกว่าเราก็ใช้ชีวิตมาถึงจุดหนึ่งแล้ว หลังๆ ก็เริ่มแต่งตัวหรือทำอะไรที่เราอยากทำจริงๆ มากขึ้น ถ่ายละครเมื่อก่อนก็ต้องไว้ผมอิงกับคาแรคเตอร์ แต่เดี๋ยวนี้ก็ตัดผมสั้นแล้วก็ใส่วิก รู้สึกว่าโค้งสุดท้าย เราต้องเริ่มเคาท์ดาวน์ตัวเอง เราต้องใช้ชีวิตที่เป็นเรา ไม่ใช่แม่นุ๊กของลูกๆ หรือไม่ใช่คนในละครมากจนเกินไป”
อะไรที่ทำให้รู้สึกว่าต้องเริ่มเคาท์ดาวน์ตัวเอง? “คือยังไงทุกคนก็ต้องตาย ทุกคนก็รู้ ทุกคนก็พูด แต่เชื่อมั้ยว่าไม่มีใครรู้สึกได้เท่ากับคนที่เห็นความตายอยู่แค่ปลายจมูกหรอก เรารู้เลยว่าความตายมันอยู่แค่เอื้อมเราเอง การรอฟังผลแล้วเหงื่อแตกไปทุกอณูขุมขน เวลาฟังแล้วใจมันแว๊บ มันผ่านตรงนั้นมาแล้วเราก็เลยรู้ว่าจริงๆ ไม่ใช่เราคนเดียวนะคะ ขีวิตทุกคนเกิดมาปุ๊บก็เคาท์ดาวน์ทันที เพราะเราก็ไม่รู้ว่าจะไปเมื่อไหร่ ก็เลยมีเรื่องของศาสนาขึ้นมา เพื่อให้เราได้ยึดเหนี่ยวจิตใจ และทำในสิ่งที่มันดีที่สุด”
เราต้องฉีดบ่อยไหม? “หมอบอกว่าสำหรับคนที่ป่วยอย่างน้อย ปีละครั้งก็ได้ ถ้าเกิดคนที่ปกติอ่ะ อาจจะสองปีครั้ง หรือบางคนที่คิดว่าฉีดแล้วโอเคแล้วไม่ต้องฉีดอีกก็ได้”
มะเร็งของเราเรียกว่าอยู่ในระยะไหน? “คือเป็นสิ่งเดียวที่ไม่กล้าถามหมอเลยไม่ว่าจะหมอคนไหน เพราะว่าหมอไทยอ่ะเขาพูดว่า มะเร็งไทรอยด์มันไม่เหมือนมะรืนอื่นๆ มันไม่ได้นับที่ขนาด แต่นับที่อายุ ต่อให้มีขนาดที่เล็ก แต่อายุเยอะ ก็ถือว่าเป็นสเต็ปลึก เราก็เลยรู้สึกว่าคำว่าแก่กับมะเร็ง แก่เจ็บกว่า ก็เลยบอกว่าเออ ไม่ต้องบอกดีกว่า เจ็บ
แต่ของนุกก็ลามไปค่อนข้างเยอะ เพราะอย่างที่บอกว่านุกเป็นมาหลายปีมาก ที่มีก้อนที่คอ แต่ว่าเราอ่ะไม่ได้ใส่ใจ เราละเลยตัวเองมากๆ คือก่อนหน้านี้เนี่ย ตอนต่อประกันเขาก็ปฏิเสธ เขาบอกว่าผลเลือดเราประหลาด แต่ว่าเราก็หาไม่เจอว่ามันเป็นอะไร”
แล้วมันส่งผลกับการใช้ชีวิตของเรามากน้อยขนาดไหน? “หลังจากที่ตัดไปแล้วเปลี่ยนไปเยอะ อาจจะมีเรื่องของอารมณ์ที่มันสรวน ด้วยความที่ไทรอยด์เรามันไม่ปกติ ไทรอยด์มันจะเป็นพวกต้นกำเนิดของผมกระดูกเล็บฟันผิวหนังอารมณ์ มันเป็นต่อมไร้ท่อที่มันสร้างผลิตฮอร์โมนหลายอย่างในตัวเรา
แต่พอหลังจากที่ผ่าตัดไปเรียบร้อยแล้วมันจะเปลี่ยนไปถล่มทลายเลย นอนหลับไม่พอแค่วันสองวันมาแล้ว”
หลังจากเป็นข่าวว่าเรายังหลงเหลือมะเร็งอยู่สามีตกใจไหม? ”สามีถามเลยค่ะ จากปกติที่ไม่ถามว่าเป็นยังไงบ้าง คือเขาไม่รู้ คือก่อนบินน่ะเขาหันมาถามเลยว่า ยูไปรักษาตัวหรอ ใช่ๆ จะไปจีน คือเขาก็สงสัยว่ายังมีมะเร็งอยู่ที่ตัวอยู่เหรอ คือเขาอ่ะไม่เคยรู้มาตลอด หลังจากที่ที่ผ่าไทรอยด์มา 3-4 ปี เขาไม่เคยรู้เลย แล้วเราก็ไม่ได้พูดด้วยค่ะ
แล้วทีนี้พอบินกลับมา เขาก็คงจะรู้สึกผิด เพราะว่าเขาก็ไม่เคยรู้มาก่อน เขาก็ถามตั้งแต่วันที่กลับมาแล้วว่าเป็นยังไงรักษาเป็นยังไงบ้าง ก็เลยบอกเขาว่าฉันยังไม่อยากจะพูดเรื่องมะเร็งตอนนี้ คุยเรื่องอื่นได้ไหม เพราะฉันน่ะไปอยู่โรงบาลมา 3-4 วัน อยู่กับกับมะเร็ง 3-4 วัน ได้ยินคำว่ามะเร็งๆ
แล้วเราไปเยี่ยมผู้ป่วยมะเร็ง เวลาเรากอดกันมันก็รู้สึกร้องไห้ไปด้วยกัน มันก็รู้สึกต่อให้เราบอกว่าโอเค แต่พอเราเห็นเพื่อนร่วมทางของเราไม่ค่อยโอเคเราก็รู้สึก ก็เลยบอกว่ากลับมาอย่าพึ่งพูดนะขอพักแป๊บนึงแล้วก็ทำงาน ไม่ค่อยอยากเล่าให้ใครฟังเพราะว่ามันยังรู้สึกว่าตัวเองยังสรวนอยู่ ไม่อยากให้ใครเห็นในสภาพที่มันสรวน เพราะว่าเราก็ต้องเป็นตัวอย่างด้วย
ก็ต้องบอกว่าคุณพ่อนุกก็เป็นเพิ่งตรวจเจอปีนี้แล้วก็รักษา ซึ่งเขาก็ไม่ยอมบอกนุกนะคะว่าเขาเป็นถึงสเต็ปไหนแล้ว ซึ่งมันก็โอเคเพราะว่ามันก็เป็นสิทธิ์ของเขา แต่นุกเชื่อว่าตอนที่เขาให้คีโมเขาป่วยน้อยมาก เขาแข็งแรงมาก เขาน้ำหนักลดไม่กี่โลน้อยมาก ถ้าเทียบกับคนแก่อายุเท่าๆเขาทุกคนจะต้องล้ม เดินไม่ได้ แต่ว่าเขาเดินได้ปกติ แต่ว่าอาจจะมีในเรื่องของระบบย่อย ระบบขับถ่าย และในเรื่องของการทานทานข้าวที่ทานไม่ลงเพราะเรื่องของคีโม ที่มันอาจจะทำให้ทานข้าวไม่ลง
แต่นุกเชื่อว่าส่วนนึงเขาเห็นว่านุกอ่ะมันยังรอดเลย นุกมันยังใช้ชีวิตปกติ เขาก็เหมือนว่ายังใจสู้ โชคดีที่ลูกชิงเป็นก่อน ก็เลยรู้สึกว่าเวลาเรารู้สึกว่าสรวนเราไม่อยากให้ใครเห็น”
ให้กำลังใจเขายังไงบ้าง? “ไม่ได้ให้กำลังใจกันขนาดนั้นนะคะ แต่จะเป็นการพาไปทานข้าว เน้นให้กินนั่นสิ กินนี่สิ ก็เหมือนลูกคะยั้นคะยอ ไม่อยากกินก็ต้องกินเป็นมารยาทเล็กๆ น้อยๆ”
เขาเครียดขนาดไหน? “แรกๆ กลัวนะคะ แต่พอเริ่มกระบวนการรักษา ก็เริ่มทำใจได้ เพราะเราเข้าใจได้ว่าแรกๆ ทุกคนก็จะรู้สึกกลัว ตกใจ ช็อก แต่พอเข้าโหมดทำใจได้ เริ่มไปรักษา เขาก็ปกติขึ้น นุ๊กกับเขาค่อนข้างใช้ชีวิตคล้ายกันเลย เราปกติมาก ไม่คุยเรื่องมะเร็งเป็นปัจจัยหลักเลยค่ะ อยู่แบบลืมๆ เหมือนไม่มีมันอยู่ด้วยซ้ำ แต่กระบวนการรักษาก็ทำไป”
คุณพ่อเป็นตรงส่วนไหน? “คุณพ่อเป็นที่ลำไส้ค่ะ แต่ตอนนี้เขาก็เบาใจขึ้น เขาโชคดีมากที่ลูกสาวเป็นมะเร็งก่อน (หัวเราะ) เขาก็เลยรู้สึกว่ามีตัวอย่าง คือนุ๊กไม่เคยเครียดให้เขาเห็นนะคะ ไม่เคยแม้แต่ตื่นมาทั้งที่ตัวเองสลวนแล้วบ่นกับคนอื่น นุ๊กรู้สึกว่ามันไม่ใช่เรื่องที่ต้องพูด บางทีเรายังไม่รู้ตัวเลย จนไปกองถ่ายช่างแต่งหน้าทักว่าไปฉีดหน้าผากมาเหรอ หน้าผากบวม เราก็ถึงรู้ เพราะเริ่มรู้สึกไม่ค่อยสบาย เพราะบางทีเราก็ไม่ได้สังเกตุตัวเองด้วย แต่มันก็บวมเป็นกลมๆ เหมือนยุงกัด เหมือนเราอาจจะเครียด เลือดก็เลยไม่โฟลหรืออะไรเราก็ไม่รู้ เพราะพอหลังจากผ่ามันก็สลวนไปหมด แต่เราก็พยายามใช้ชีวิตให้มันปกติที่สุด อย่าไปคิดอะไรมาก (ยิ้ม)
เขาว่ามะเร็งเป็นโรคที่ต้องการกำลังใจมากที่สุด? “ใช่ค่ะ อย่างตำแหน่งที่ได้มาล่าสุด ที่ประเทศจีนเขาก็มองเราว่าดูเป็นคนที่แลดูมีความสุข (หัวเราะ) เขาบอกว่ามะเร็งมันกลัวความสุขนะ เราก็เลยรู้สึกว่าเราต้องมีความสุข เป็นกำลังใจให้ตัวเอง และเป็นกำลังใจให้เพื่อนที่ป่วยอยู่ด้วยกัน
วันที่เราเฟล นั่งเครื่องกลับมาถึงไทยเราก็นึกในใจว่าทำไมคนป่วยมะเร็งจะต้องเครียด จะต้องเสียใจ ร้องไห้ทั้งวันทั้งคืน แล้วพวกที่ป่วยเบาหวาน เป็นไต ทำไมเขาไม่เป็นอะไร แล้วทำไมเราต้องเป็นอย่างนั้น มันก็ไม่จำเป็น บางคนไม่เป็นยังตายก่อนเราก็มี ฉะนั้นก็อย่าไปเครียด เป็นมะเร็งก็แค่เป็นมะเร็ง บางคนบอกว่าให้พูดแค่น้องมะ ไม่ค่ะ มะเร็งก็มะเร็ง คนเป็นไตยังพูดว่าเป็นไต ไม่เห็นจะต้องกลัวเลย เขาไม่กลัว ทำไมเราต้องกลัว“
แนวทางการรักษาหลังจากนี้ต้องผ่าตัดใช่มั้ย? “ผ่าตัดนี่น่าจะอยู่ที่ใจเราก่อนค่ะ (หัวเราะ) คือนุ๊กคุยกับ คุณแหม่ม วิชุดา บอกว่านุ๊กอยากเป็นแหม่มมากเลยนะ บินไปเกาหลีทุกทีแหม่มจะวางยาสลบ จะขึ้นเตียงผ่าตัดแหม่มทำได้ ในเวลาแค่ 5 นาที แหม่มตัดสินใจเลย แล้วนุ๊กเคยอยู่กับเขาตอนนั้น แหม่มเก่งมาก
แต่นุ๊กเป็นคนที่เดี๋ยวก่อน เอาไว้ก่อน คือรู้สึกว่าการจะดมยามันเรื่องใหญ่ คือนุ๊กรู้สึกว่าเราตายไปครึ่งนึงแล้วเวลาเราดมยา ไม่ว่าจะคลอดลูกหรืออะไร เท่ากับเราตายไปครึ่งหนึ่งแล้ว ก็เลยรู้สึกว่ายังไม่พร้อม และอีกอย่างก็ยังมีธุรกิจที่เพิ่งจะเริ่มทำ แล้วมันยังต้องอาศัยเราคนเดียวที่จะรันมันไปได้ ตอนนี้ก็เลยอยากจะไปฉีดสเต็มเซลล์ก่อนค่ะ
แล้วถ้ากล่อมคุณพ่อได้ คุณพ่อก็จะมีความมั่นใจกับการรักษาของเขาเหมือนกัน ถ้าเขาไปได้ก็อยากชวนเขาไปด้วย เพราะว่าจริงๆ แล้วสเต็มเซลล์บางประเทศถูกกฎหมาย แต่ก็เป็นล้าน แต่ที่จีนประมาณ 2.5 แสน ราคามันถูกกว่าเยอะ อยากนุ๊กไปฉีดเม็ดสี แล้วก็เข้าอุโมงค์ ถ้าอยู่ไทยมันต้องเกือบๆ แสนแล้ว แต่ที่นู่นก็ถูกกว่าเกินครึ่ง เราก็รู้สึกว่าถ้าเราไม่ได้มีประกันเลย ก็ถือว่าเราคุ้ม
การผ่าตัด ณ ตอนนี้ก็เลยน่าจะเป็นช้อยส์สุดท้าย คือเรายังรู้สึกห่วงเรื่องลูก เรื่องงาน และการผ่ากว่าจะพักฟื้นอีก เอฟเฟ็กต์มันก็เยอะนะคะ ผ่าคอนี่มันยึดหมดเลยนะคะ แล้วก็จะมีอาการเหมือนออฟฟิศซินโดรมร่วมด้วย เพราะมันยึดไปหมด ผังผืดจะเกาะ กว่าเราจะยืดคอก็มึนหัวอีก มันจะเป็นช่วงที่ทำงานยากมาก แต่ก็คิดว่าถ้าจบละคร 2 เรื่องนี้ และธุรกิจอีก 2 ตัวก็น่าจะไปอยู่ในช่วงของการดูแลตัวเองหลังจากนี้ค่ะ”
ครั้งแรกที่ผ่าเป็นยังไง? “เชื่อมั้ยครั้งแรกที่ผ่าก็ขับรถไปคนเดียวนะ ให้พี่โก้ (ธีรศักดิ์ พันธุจริยา) ไปรอหน้าห้องผ่าตัด พอผ่าเสร็จ พักฟื้นเสร็จก็ขับรถกลับบ้านเอง (หัวเราะ) แต่ตอนผ่าไม่เป็นอะไรเลยค่ะ ก็ตามสเต็ปของคนไข้ แต่พอหลังจากที่ถอดแผลผ่าตัด ถอดแม็กออกแล้ว พวกผังผืดที่ยึดนี่แหละรู้สึกว่านานเหลือเกินกว่าจะหาย”
ตอนนั้นคิดมั้ยว่าชีวิตนี้จะต้องไม่มีมะเร็งอีกแล้ว? “ตั้งแต่ตอนที่อัลตร้าซาวด์ครั้งแรก ตั้งแต่ผลยังไม่ออกจากห้องแลปส์ แค่เห็นหน้าหมอก็คิดในใจว่า อะไรเนี่ย นุ๊ก สุทธิดา ใช้ชีวิตเป็นนักร้อง ตอนนี้ต้องมาเป็นมะเร็งเหรอ มันคือฉันใช่มั้ย มันเหมือนเราถูกรางวัลที่ 1 แต่เป็นรางวัลที่ 1 ที่ไม่อยากได้ (หัวเราะ) มันจะเป็นความรู้สึกนี้ก่อนที่จะเริ่มกลัว ตอนที่รู้นี่ขนลุกหมดเลย”
เพื่อนๆ ศิลปินและครอบครัวให้กำลังใจยังไงบ้าง? “ต้องขอบคุณคนแรกเลยพี่อั๋น ภูวนาท ไลน์มาคนแรกเลย หรืออยากลูกๆ ก็คงไม่ได้อะไรมาก คิดว่าแม่ตายยาก เขาบอกว่าแม่ไม่ตายง่ายๆ หรอก แม่จำไว้เลย (หัวเราะ) แต่ลึกๆ นุ๊กว่าเขากลัวนะ เขาก็ดูเศร้าไป แต่หลังจากที่เขาเห็นการใช้ชีวิตของเรา แม่ก็ยังดูปกติ แม่ก็คงไม่เป็นอะไรหรอก เขาก็เลยไม่ได้เครียดตามเรา เพราะเราก็ไม่อยากให้เขาเครียด ไม่อยากให้คนรอบตัวเราเครียด”
ลูกเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้เราต้องสู้กับโรคด้วยใช่มั้ย? “ใช่ๆ เป็นเหตุผลหลักเลยค่ะ ถ้าอย่างอื่นก็เฉยๆ รู้สึกว่าเราก็ใช้ชีวิตมาถึงจุดหนึ่งแล้ว หลังๆ ก็เริ่มแต่งตัวหรือทำอะไรที่เราอยากทำจริงๆ มากขึ้น ถ่ายละครเมื่อก่อนก็ต้องไว้ผมอิงกับคาแรคเตอร์ แต่เดี๋ยวนี้ก็ตัดผมสั้นแล้วก็ใส่วิก รู้สึกว่าโค้งสุดท้าย เราต้องเริ่มเคาท์ดาวน์ตัวเอง เราต้องใช้ชีวิตที่เป็นเรา ไม่ใช่แม่นุ๊กของลูกๆ หรือไม่ใช่คนในละครมากจนเกินไป”
อะไรที่ทำให้รู้สึกว่าต้องเริ่มเคาท์ดาวน์ตัวเอง? “คือยังไงทุกคนก็ต้องตาย ทุกคนก็รู้ ทุกคนก็พูด แต่เชื่อมั้ยว่าไม่มีใครรู้สึกได้เท่ากับคนที่เห็นความตายอยู่แค่ปลายจมูกหรอก เรารู้เลยว่าความตายมันอยู่แค่เอื้อมเราเอง การรอฟังผลแล้วเหงื่อแตกไปทุกอณูขุมขน เวลาฟังแล้วใจมันแว๊บ มันผ่านตรงนั้นมาแล้วเราก็เลยรู้ว่าจริงๆ ไม่ใช่เราคนเดียวนะคะ ขีวิตทุกคนเกิดมาปุ๊บก็เคาท์ดาวน์ทันที เพราะเราก็ไม่รู้ว่าจะไปเมื่อไหร่ ก็เลยมีเรื่องของศาสนาขึ้นมา เพื่อให้เราได้ยึดเหนี่ยวจิตใจ และทำในสิ่งที่มันดีที่สุด”